เคยเป็นพระอุปัฏฐากของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านมีบุคลิกภาพของคนสมณะที่เรียบร้อย
อีกทั้งเป็นพระที่พูดน้อย และพูดเบามาก ท่านมีปฏิปทาที่รักความสันโดษเช่นเดียวกับหลวงปู่ดู่ กุฏิของท่านจึงไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ท่านเป็นพระเพียงรูปเดียวที่ทำหน้าที่ปลงเส้นเกศาให้หลวงปู่ดู่ ตลอดหลายปีก่อนหลวงปู่ดู่จะมรณภาพ หลวงน้าทบท่านมีโรคประจำตัวอย่างหนึ่งคือโรคปลายประสาทอักเสบ ซึ่งตามสถิติทางการแพทย์ในเมืองไทยสมัยนั้นบอกไว้ว่าในแสนคนจะพบคนไทยที่เป็นโรคนี้สักคนหนึ่ง โรคนี้ได้สร้างความทุกข์กายมิใช่น้อย โดยเฉพาะเวลาฉันอาหาร เพียงแค่ปลายช้อนสัมผัสโดนลิ้นของท่าน ก็ทำเอาท่านน้ำตาร่วงได้ เพราะมันเสียวแปล๊บ ทรมานท่านมาก
หลวงน้าทบท่านเป็นพระที่ขี้เกรงใจ ไม่เคยเอ่ยปากขอจากทางวัดหรือหลวงปู่ดู่ แต่หลวงปู่ดู่เองต่างหากที่ทำหน้าที่เหมือนแม่ทางธรรม คอยสอดส่องดูแลท่าน บ่อยครั้งที่เห็นหลวงปู่ดู่มอบปัจจัยให้หลวงน้าทบเป็นค่ายานพาหนะและค่ารักษาพยาบาลเวลาที่หลวงน้าทบต้องมารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
เมื่อเสร็จงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่แล้ว หลวงน้าได้เดินทางไปจำวัดที่ต่างจังหวัดอยู่นานหลายปี กระทั่งทางวัดสะแกได้ติดต่อขอนิมนต์ให้ท่านกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดสะแก ท่านเล่าให้ฟังว่า นับเป็นเรื่องที่แปลกดี คือก่อนที่ทางวัดสะแกจะติดต่อไปนั้น ท่านได้ฝันไปว่าหลวงปู่ดู่เดินจูงมือ พาท่านชมรอบ ๆ เขตวัดสะแก มาถึงตอนนี้ ท่านจึงเข้าใจความฝันนั้นว่าเป็นนิมิตบอกว่าท่านต้องมาดูแลวัดสะแกนั่นเอง
หลวงน้าทบได้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสวัดสะแกไม่กี่ปี ท่านก็มรณภาพเพราะโรคต่าง ๆ ที่รุมเร้าท่าน อุปมาเหมือนบ้านเก่าคร่ำคร่า ที่ยากจะเยียวยารักษาไว้ได้ ชีวิตพรหมจรรย์ของหลวงน้าช่างใสบริสุทธิ์ เป็นสมณะโดยแท้ เป็นผู้มีสัมมาวาจาและปฏิปทาที่งดงาม มิน่าเล่า ท่านจึงพระภิกษุผู้คู่ควรแก่การอยู่รับใช้ใกล้ชิดและเป็นพระภิกษุเพียงรูปเดียวที่ปลงผมให้กับหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ตราบกระทั่งหลวงปู่ดู่มรณภาพ