


- ประวัตินามสกุล “ไพรยวัล”
- สมัยก่อนยังไม่มีการใช้นามสกุล แต่เมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 มีการตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น นายใย-นางวัน มีบุตรชายคนโตเป็นชาย คือ อาจารย์เฮง ซึ่งชอบศึกษาหาความรู้ต่างๆ ในด้านคงกระพันชาตรี อาคม เวทมนต์ ตามถ้ำ เขา ลำเนาไพร ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน นายใยจึงได้ขอตั้งชื่อนามสกุลของตนเองว่า “ไพรยวัล”
- เดิมนายใยตั้งใจจะใช้ว่า ไพญวัล แต่เวลาไปจดทะเบียน คนที่อำเภอเขียนเป็นไพรยวัล เพราะเห็นว่า ไพญวัล ไม่มีความหมาย ตัวสะกดเดิมใช้ ญ แต่อำเภอมาเปลี่ยนมาใช้ ย ตัวพยัญชนะต้นไม่ควบกล้ำคือ ไพ ก็เขียนควบกล้ำเป็น ไพร แต่ข้างเรือของอาจารย์เฮงเขียนไว้ว่า ไพรญวัญ เพราะอาจารย์เฮงไม่ชอบ ย ยักษ์ บอกว่าเหมือน ยักขมูขี และบางคนเขาถือว่า ชื่อต้องไม่มี ย ให้มาใช้ ญ เป็น ไพรญวัญ พระผู้เป็นหลานตาของอาจารย์เฮงบอกว่า วัญ มีความหมายว่าสดใส รุ่งเรือง แต่ท้ายสุดปัจจุบันนามสกุลนี้ก็ใช้ชื่อว่า “ไพรยวัล” (ตามหนังสือ เฮง ไพรยวัล โดย สุวิทย์ ขันธวิทย์ รศ.อิงอร สุพันธุ์วณิช)
- ประวัติอาจารย์เฮง ไพรยวัล และสายตระกูลอาจารย์เฮง ไพรยวัล
- อาจารย์เฮง ไพรยวัล เป็นบุตรชายของนายใย และนางวัน พื้นเพเป็นคนแถวบ้านป้อมเพชร เกิดเมื่อวันพุธ เดือน 8 พ.ศ.2428 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาได้ขยับขยายไปซื้อที่ดินเพิ่มเติมที่ทุ่งหันตรา
- อาจารย์เฮง มาจากครอบครัวที่มีอันจะกินผู้หนึ่ง จากการสอบถามประวัติจากหลานสาวคนหนึ่งกล่าวว่า
- “พ่อของปู่เป็นคุณพระ เขาถึงได้มีที่นาเยอะ”
- “แถวนี้ไร่ที่นาของตระกูลนี้ทั้งนั้น ของญาติปู่เฮงทั้งนั้น”
- แสดงว่าบิดาเป็นมีการศึกษา รวมทั้งเป็นคนมีฐานะสามารถส่งเสียให้ไปเรียนต่างประเทศ (ปีนัง สิงคโปร์) ได้ ตามที่เล่ามา บิดาเป็นนายตำรวจหรือผู้ตรวจการคุก (พัศดี) แต่อาจารย์เฮงไม่สนใจจะศึกษาทางวิชาการอื่น ท่านสนใจแต่วิชาทางไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา ก่อนที่จะไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ท่านได้บวชที่วัดสุวรรณดาราราม พระนครศรีอยุธยา



- หลังจากลาสิกขาบทครั้งแรกแล้ว อาจารย์เฮง ได้ไปศึกษาต่อที่ ปีนังและสิงคโปร์ ตามที่บิดาต้องการ การไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้อาจารย์เฮงได้พบกับเพื่อนใหม่มากมาย และเพื่อนเหล่านั้นต่างก็กลับมารับราชการได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวง พระ พระยา หลายคน เช่น พระยาเพชรปรีชา
- ขณะที่ศึกษาอยู่ที่ปีนัง อาจารย์เฮงไม่ได้สนใจวิชาการที่ศึกษาอยู่ กลับคิดถึงแต่เรื่องไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา จึงได้ลาออกจากการศึกษาและกลับประเทศไทย เพื่อนคนหนึ่งขณะนั้น (ต่อมาได้รับราชการเป็นพระยาเพชรปรีชา) แนะนำว่าให้เดินทางกลับทางภาคใต้ และควรศึกษาวิชาความรู้ต่างๆ ทางภาคใต้ โดยเฉพาะที่เขาอ้อ จังหวัดพัทลุง ที่มีชื่อเสียงทางด้านการสักยันต์และการอาบน้ำว่าน ฯลฯ อาจารย์เฮงได้สนใจทางการสักยันต์ และได้ศึกษาขึ้นพื้นฐานจากสำนักเขาอ้อ จังหวัดพัทลุงอยู่ประมาณสามเดือนก็กลับเข้ากรุงเทพฯ และเดินทางกลับอยุธยา ต่อมาไม่นานบิดาท่านซึ่งป่วยอยู่ก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงหันไปสนใจศึกษาวิชาทางไสยเวทอย่างเต็มที่
- ครั้งนี้ท่านมุ่งไปที่วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ที่เก็บเอกสารวิชา ตำรับตำราโบราณมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตำรับตำราเหล่านี้สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว เป็นผู้เรียบเรียงและรวบรวมขึ้นจากตำราครั้งโบราณ เป็นที่ยอมรับและนับถือกันโดยเฉพาะตำราพิชัยสงคราม ซึ่งแตกแขนงออกไปหลายสาขา เช่น วิชาการตั้งพิธีกรรม วิชาการตั้งค่ายกล วิชาการตั้งทัพ วิชาการเลือกชัยภูมิสร้างเมือง วิชาการตั้งปั้นเครื่องราง รวมทั้งวิชาการสักยันต์และอักขระอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย วิชาสมุนไพรรักษาโรคนานาชนิด ฯลฯ อีกด้วย
- (ภาพภายในวิหารวัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)



- อาจารย์เฮงได้ศึกษาตำราต่างๆ โดยเฉพาะคัมภีร์รัตนมาลาหรือคาถามหาพุทธาธิคุณ ซึ่งว่าด้วยบทอิติปิโสครบสูตร รวมทั้งศึกษายันต์มหาจักรพรรดิตราธิราชด้วย เมื่ออาจารย์เฮงได้ศึกษาท่องอ่านเขียนตำราเหล่านี้ได้อย่างคล่องแคล่วแตกฉานแล้ว ท่านก็สนใจที่จะศึกษาเรื่องของยันต์นะครบสูตรอีกสูตรหนึ่ง เพราะตอนที่อยู่ทางใต้ท่านยังศึกษาไม่ละเอียดก็ต้องกลับอยุธยาเสียก่อน เพราะบิดาท่านป่วย
- สูตรยันต์ที่อาจารย์เฮงสนใจคือ ยันต์นะ 9 เฮชาตรี ซึ่งเป็นสุดยอดวิชายันต์อีกแขนงหนึ่ง ผู้ที่มีความรู้ดีด้านนี้มีน้อย แต่ก็ยังมีผู้ที่รู้อย่างเจนจบก็คือ หลวงพ่อกลั่น ธมฺมโชติ วัดพระญาติการาม พระนครศรีอยุธยา อาจารย์เฮงเคยรู้จักกับหลวงพ่อกลั่นมาแล้ว สมัยที่หลวงพ่อกลั่นยังเป็นพระลูกวัดอยู่ แต่ขณะนั้นหลวงพ่อกลั่นได้มีวิชาความรู้คาถาอาคมและเติบโตทางธรรมมากขึ้น อาจารย์เฮงจึงได้มาขออุปสมบทที่วัดพระญาติการาม โดยมีหลวงพ่อกลั่นเป็นพระอุปัชฌาย์ และอาจารย์เฮงก็ได้สมัครเป็นศิษย์หลวงพ่อกลั่น และวิชาความรู้ของหลวงพ่อกลั่นไม่มีการจดบันทึกรวบรวมไว้เป็นคัมภีร์ ใครจะศึกษาต้องถ่ายทอดกันปากต่อปาก คือ อยู่คนละฝาห้อง อาจารย์จะเป็นผู้บอกตัวคาถาและอักขระให้ท่องจำเอาเองให้ได้ เหตุที่ไม่มีการจดบันทึกอาจเป็นเพราะเกรงว่า คาถานั้นจะร่วงหล่นไปตามพื้น เมื่อกระดาษนั้นหล่นหายหรือถูกทิ้งทำลาย
- (ภาพหลวงพ่อกลั่น ธมฺมโชติ วัดพระญาติการาม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)



- วิชาที่อาจารย์เฮงศึกษาจากหลวงพ่อกลั่นมีอยู่หลายแขนง เช่น ชักยันต์นะ 9 เฮชาตรี การฝังเข็มทอง การสักยันต์ณาณาณา เป็นกงจักรนารายณ์ซึ่งมาจากอิติปิโสแปลงรูป (นารายณ์แปลงรูป)
- ขณะที่อาจารย์เฮงศึกษาบวชเรียนอยู่ที่วัดพระญาติการามนั้น ได้มีโอกาสพบหลวงปู่สีห์ พินทสุวัณโณ และคุ้นเคยกัน เพราะหลวงปู่สีห์ อุปสมบทโดยมีหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ และหลวงปู่สีห์ สนใจด้านไสยศาสตร์ก็มาศึกษาคาถาอาคม พุทธคมกับหลวงพ่อกลั่นที่วัดพระญาติการามด้วย
- (ภาพหลวงปู่สีห์ พินทสุวัณโณ วัดสะแก อำเภออุทัย พระนครศรีอยุธยา)



- เมื่อเรียนความรู้คาถาอาคมสักยันต์ต่างๆ กับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการามจนจบแล้ว อาจารย์เฮงอยู่รับใช้หลวงพ่อกลั่นระยะหนึ่ง ก็ลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาส หลังจากที่อาจารย์เฮงกลับมาครองเพศฆราวาสที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เริ่มปรากฎชื่อเสียงเกียรติคุณกระเดื่องดังทางเป็นพระอาจารย์วิชาไสยศาสตร์ ท่านเริ่มตั้นด้วยการเป็นอาจารย์สักยันต์ก่อน คือท่านจะใช้หมึกแดงในการสัก ลูกศิษย์ของท่านจึงมีชื่อเรียกว่า นักเลงยันต์แดง หรือศิษย์อาจารย์เรือลอยเพราะท่านได้ล่องเรือไปทั่ว เนื่องจากท่านชอบอยู่ในเรือมากกว่าบนบก เมื่ออยู่กรุงเทพฯ ก็อยู่ในเรือหน้าวัดบพิตรภิมุข เมื่ออยู่อยุธยาก็อยู่หน้าวัดสะแก
- เพื่อนๆ ของท่านเมื่อทราบว่าท่านมีวิชาความรู้ดีก็มาขอตัวเป็นศิษย์ ราว พ.ศ.2476 เกิดกบฏบวรเดช จึงมีทหารและข้าราชการมาให้ท่านสักเป็นจำนวนมาก การสักยันต์ครั้งนี้ อาจารย์เฮงตั้งพิธีการสักยันต์ที่วัดหันตรา โดยอาจารย์เฮงนิมนต์หลวงปู่สีห์ พินทสุวัณโณ เป็นผู้นำฝ่ายสงฆ์ในการทำพิธี การสักยันต์ของอาจารย์เฮงนั้นจะต้องตั้งราชวัตรฉัตรธง ทำแท่นบูชาพระอรหันต์ 108 รูป พระสงฆ์สวดพระคาถา ส่วนอาจารย์เฮงก็จะสักและว่าคาถากำกับไปด้วย
- หลังจากนั้น เมื่ออาจารย์เฮงจะประกอบพิธีกรรมครั้งใด ก็จะอาราธนาหลวงปู่สีห์ ไปร่วมพิธีฝ่ายสงฆ์อยู่เสมอ
- อาจารย์เฮง มีฐานะมั่งคั่ง มีบ้านเป็นหลักแหล่งอยู่ที่ทุ่งหันตรา มีไร่นาและบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ที่อำเภอวังน้อย พระนครศรีอยุธยา เมื่อท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะลูกศิษย์จากกรุงเทพฯ เพื่อความสะดวกในการประสิทธิ์ประสาทความรู้ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาจึงเชิญท่านมาเช่าบ้านอยู่ที่สวนมะลิ และย้ายมาอยู่ที่ห้องแถวหน้าสมาคม Y.M.C.A. วรจักร (จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านจึงอพยพขึ้นไปอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาดังเดิม ระหว่าง พ.ศ.2484-2485)
- สมัยที่ท่านเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ นั้น เป็นยุคสมัยที่นักเลงและอั้งยี่ เฟื่องฟู พวกอั้งยี่จะนับถือหลวงพ่อโม วัดสามจีน, พวกนักเลงจะนับถือหลวงพ่อหรุ่นเก้ายอด, นอกจากนี้ยังมีพวกยันต์แดงอาจารย์เฮง, สามล้อถีบวัดสามจีนและลูกศิษย์สายหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา, พ่อแก้ว คำวิบูลย์ เป็นต้น
- ขณะที่อยู่กรุงเทพฯ อาจารย์เฮงจอดเรืออยู่หน้าวัดเชิงเลน สะพานหัน (วัดบพิตรภิมุข) มีลูกศิษย์ลูกหามากมายทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นข้าราชหารกระทรวงศึกษาธิการ ทหาร ตำรวจ ประชาชนทั่วไป รวมทั้งนักเลงหัวไม้หลายคน มีทั้งการฝั่งเข็มทอง การสักยันต์รูปหนุมาน ฯ ตำรวจต้องไปขอร้องให้เลิกสัก เพราะลูกศิษย์ลูกหาไปเป็นโจรกันจำนวนมาก ปราบก็ยาก เนื่องจากวิชาคงกระพันของอาจารย์เฮงนั้นเป็นเลิศ เมื่อบ้านเมืองเกิดเรื่องไม่สงบมากมาย เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็เพ่งเล็งพวกนักเลงและพวกอั้งยี่ รวมทั้งอาจารย์เฮงก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้านักเลงหัวไม้
- หลังจากที่ถูกทางการเพ่งเล็ง อาจารย์เฮงก็กลับไปอยู่อยุธยาบ้านเกิดระยะหนึ่ง แต่มิได้ขึ้นไปพักบ้านญาติ ยังคงพักอาศัยอยู่ในเรือหน้าวัดสะแก และเริ่มทำของขลังอื่นๆ เช่น ตะกรุด เหรียญพรหมสี่หน้า งาแกะ และอื่นๆ อีกมากมาย
- จากคำบอกเล่าของคุณลุงคนหนึ่งที่วัดสะแก ท่านบอกว่า
- ” ตาเฮงชอบมาจอดเรืออยู่ที่หน้าวัด จอดทีก็นานหลายวัน ตาเฮงแกไม่ชอบใส่เสื้อ ตัวเล็ก รูปร่างท้วมสันทัด นุ่งผ้าขาวม้า เอาผ้าพาดบ่า มียายเชื้อ (ภรรยา) อยู่ด้วย ตาเฮงแกชอบกินกาแฟหรือไม่ก็โอเลี้ยง โดยใช้เด็กที่วิ่งผ่านไปมาไปซื้อให้ เป็นคนใจดี มีนิสัยค่อนข้างนักเลง พูดจาโผงผาง เสียงดัง ในแต่ละวันจะมีลูกศิษย์แวะเวียนกันมาที่เรือ มาขอผ้ายันต์บ้าง ซึ่งบางครั้งก็ขึ้นมาปั๊มกันที่วัดสะแกเลย หรือบางทีก็มาสัก ขอตะกรุด ส่วนมากจะเห็นแกแจกตะกรุดสีเงินซะมากกว่า เท่าที่จำได้”
- จากคำบอกเล่านี้ ตรงกับที่ลูกหลานของอาจารย์เฮงที่เล่าว่า
- ” ตาอยู่แต่ในน้ำ ไม่ได้อยู่บนบก เพราะว่าอยู่บนบกแล้วร้อนวิชา เวลามากรุงเทพฯ ตาจะขับเรือมาเป็นเรือเครื่องจากอยุธยา แล้วก็มาจอดแถวสะพานพุทธ ตามาด้วยเรือ แล้วก็กลับด้วยเรือ เป็นเรือมีพวงมาลัยอยู่ลำหนึ่ง ตาเขาจะไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง ลูกหลานจะเจอทีตอนทำพิธี เช่น ทำพิธีไหว้ครูจะทำที่บ้านวรจักรทุกวันพฤหัส แต่ถ้าปลุกเสกของจะไปทำที่วัดสะแก ทำในโบสถ์ ตอนที่มาทำพิธีที่บ้านวรจักรลูกศิษย์เยอะมาก”
- ” ตาเขาจะใส่แต่ผ้าแดง นุ่งผ้าขาวม้ามีแดงอย่างเดียว ปล่อยชายยาวๆ ผ้าอะไรก็ได้แล้วแต่เป็นสีแดงหมด ตาจะนุ่งแล้วก็โจงขึ้นมาข้างบน และไม่ได้ใส่เสื้อ ไม่ได้นุ่งกางเกงเหมือนคนทั่วไป นุ่งผ้าขาวม้าแดง พาดคอบ้าง ส่วนมากตาจะไม่ใส่เสื้อผ้า มันร้อน ร้อนวิชา เขาไม่ได้ใส่เหมือนพวกเราทั่วไปนะ ใส่ตะกรุดใหญ่ๆ เดินไปไหนมาไหนคนก็มอง”
- อีกคนหนึ่งเล่าว่า อาจารย์เฮงจะใส่ผ้าสีแดง แต่เป็นโสร่ง
- “นุ่งผ้าโสร่ง และใช้ผ้าขาวม้าพาด สงสัยจะนุ่งผ้าแดงด้วย”
- “อาจารย์เฮงมาอยู่ที่นี่เป็นปี มาอยู่เรือตรงแถวศาลาแดง (ที่วัดสะแก) ปกติจะนุ่งโสร่ง พาดผ้าขาวม้าประจำ”
- อาจารย์เฮงท่านพิถีพิถันกับการรับลูกศิษย์มาก เพราะท่านได้เล็งเห็นว่า การที่จะมอบของดีให้กับคนที่ไม่ดีนั้น จะก่อความเดือดร้อนและเป็นบาปกรรมตกไปถึงครูอาจารย์ ส่วนมากลูกศิษย์ของท่านจะเป็นผู้อาวุโสในกลุ่มครู อาจารย์ เช่น ครูฟู พุทธินันท์ อดีตศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบ หรือแม้แต่นักการธนาคาร ข้าราชการผู้ใหญ่ เป็นต้น
หลานของอาจารย์เฮงอีกคนหนึ่งได้กล่าวว่า
” ลูกศิษย์เองของตา มีครูฟู (ฟู พุทธินันท์), อาจารย์วิเชียร, พ่ออาจารย์วันชัย (เป็นผู้อำนวยการ)… มีศิษย์เอกอยู่ 3 คน ที่กรุงเทพฯ อาจารย์วันชัย ตาเฮงเป็นคนตั้งชื่อให้) - อาจารย์เฮง ไพรยวัล เป็นฆราวาสผู้โด่งดัง ได้เสียชีวิตบนกุฏิหลวงปู่สีห์ พิณทสุวัณโณ ที่วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2502 สิริรวมอายุได้ 74 ปี เดิมอัฐิของท่านบรรจุอยู่ที่วัดสะแก แต่ปัจจุบันอัฐิของท่านได้ย้ายไปอยู่ที่วัดขนอน ตำบลหนองน้ำส้ม อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ท้ายสุดอัฐิของท่านได้นำมาบรรจุที่ใต้ฐานรูปหล่อของท่านในวิหารวัดขนอน)



- เมื่อวันที่ท่านเสียชีวิต หลานของท่านคือพระเฉลียว อุตโม ได้จุดธูปขอปลักขลิกที่ท่านห้อยอยู่ที่เอวด้วยด้าย โดยใช้ใบมีดโกนซึ่งมีความคมมาก พยายามที่จะตัดด้าย แต่ตัดไม่ขาดจึงละความพยายาม แต่อยู่ดีๆ ด้ายก็ขาดเอง ปลัดขลิกหล่นลงร่องตกน้ำ หลวงปู่สีห์ที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยจึงได้กล่าวว่า เขาไม่ให้เอ็ง เอ็งไม่ต้องลงไปเก็บที่ใต้ถุนหรอก
- หลานสาวคนหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์ว่า
“อัฐิเดิมอยู่วัดสะแก สาเหตุที่ย้ายอัฐิเพราะว่าดินทรุดแล้วก็ย้ายมาวัดขนอน รกรากจริงๆ ของตาเฮงอยู่วัดขนอน”






- ฆราวาสผู้มีความรู้ทางเวทมนต์คาถาในสมัยเดียวกัน ที่ขึ้นชื่อ ก็คือ อาจารย์เฮง ไพรยวัล อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง และอาจารย์จาบ สุวรรณ
![]() | ![]() | ![]() |
อาจารย์เฮง ไพรยวัล | อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง | อาจารย์จาบ สุวรรณ |
(พ.ศ.2428-2502) | (พ.ศ.2427-2489) | (พ.ศ.2426-2501) |
- เรียบเรียงโดย อาจารย์พีระ แย้มประดิษฐ์ จารึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักและน้อมรำลึกถึง น้อมบูชาครูบาอาจารย์ ถึงฆราวาสท่านหนึ่งที่อยู่คู่วัดสะแก